วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บทที่ 2

บทที่ 2
วิธีการสอนและเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

1.วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ(Child Center)
   1.1 วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา(Problem-Solving Method)
           วิธีสอนนี้ จอห์น ดิวอี้(John Dewey)  เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา  หลักใหญ่อาศัยวิธีการสอนที่ใช้แก้ปัญหาของนักเรียน  โดยครูเป็นผู้ชี้แนะเท่านั้น  วิธีการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์(Scientific Method)  ทุกประการคือ
                                      - กำหนดขอบเขตของปัญหา(Location of Problem)
                                      - ตั้งสมมติฐาน(Setting up of Hypothesis)
                                      - ทดลองและรวบรวมข้อมูล(Experimenting and Gathering of Data)
                                      - วิเคราะห์ข้อมูล(Analysis of Data)
                                      - สรุป(Conclusion)
   1.2 วิธีการสอนแบบแสดงบทบาท(Role Playing) 
              เป็นการสอนที่กําหนดให้ผู้เรียน แสดงบทบาทตาม สมมติขึ้นเทียบเคียงกับสภาพที่เป็นจริงหรือแสดงออกตามแนวที่คิดว่าควรจะเป็น เพื่อให้ผู้ดูเกิด ความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นการแสดงบทบาทสมมติจะช่วยให้เกิดความสนใจ ฝึกความกล้า ที่จะแสดงออก เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ตรึงเครียดของเด็ก การแสดงบทบาทสมมติต่างจากเกม จําลองสถานการณ์ ศรงที่ไม่มีเกณฑ์และการแข่งขัน
   1.3 วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)
          วิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์  เป็นการสอนโดยนำหลักการทางวิทยาศสตร์มาใช้เป็นโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบ ปัญหา  และวิธีการแก้ไข  ด้วยกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้น  วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์  เหมาะสำหรับ  การสึกษา  ค้นคว้า  ทดลอง  แบบง่ายๆ
  1.4 วิธีสอนตามขั้นที่ 4 ของอริยสัจ(Buddist's Method)
         ขั้นต่างๆของอริยสัจสี่ = ขั้นต่างๆ ของวิธีการแก้ปัญหา  หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์
                        ทุกข์     =     กำหนดปัญหา
                        สมุทัย   =     การตั้งสมมติฐาน
                        นิโรธ     =     การทดลองและเก็บข้อมูล
                        มรรค     =     การวิเคราะห์ข้อมูล  สรุป
  1.5 วิธีการสอนแบบทดลอง(The Laboratory Method)
        วิธีการสอนแบบทดลอง  มีลักษณะคล้ายกับวิธีการสอนแบบวิทยาศาสตร์  แต่มีการปรับปรุงหลักการบางส่วนเพื่อความเหมาะสมกับการเรียนวิชาอื่นๆ  เช่น  ภาษาอังกฤษ  คณิตศาสตร์
          วิธีการสอนแบบทดลองจะแสดงข้อเท็จจริง จากการสืบสวน ค้นคว้าและทดลอง ซึ่งวิธีการสอนแบบนี้ยังต่างจากการสอนแบบสาธิตด้วย เพราะการสอนแบบสาธิตเป็น ผู้ทดลองให้นักเรียนดูส่วนการสอนแบบทดลองนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง
  1.6 วิธีการสอนแบบอภิปราย(Discussion Method)
         วิธีการสอนแบบอภิปรายเป็นการสอนแบบการเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างครูกับนักเรียน  หรือระหว่างนักเรียนด้วยกัน  โดยมีครูเป็นผู้ประสานงาน
  1.7 วิธีการสอนแบบจุลภาค(Micro-Teaching)
          วิธีการสอนแบบจุลภาค  เป็นนวัตกรรมการศึกษา(Educational Innovation)  เป็นประสบการณ์ที่ย่อส่วนลงมาอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่าง รัดกุม  โดยสอนในห้องเรียนแบบง่ายๆ   กับนักเรียน 5-6 คน  ใช้เวลา 5-15 นาที  เปิดโอกาสให้ครู  ได้ฝึกทักษะการสอนแบบใหม่ๆ
  1.8 วิธีการสอนแบบโครงการ(Project Method)
          วิธีการสอนแบบโครงการ เป็นการสอนที่ให้นักเรียนเป็นหมู่หรือรายบุคคลได้วางโครงการ และดำเนินงานให้สำเร็จตามโครงการนั้น เป็นการสอนที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริงนักเรียนเริ่มต้นทำโครงการด้วยการ ตั้งปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น โครงการแก้ปัญหาความสกปรกของโรเงรียน เป็นต้น
   1.9 วิธีการสอนแบบหน่วย(Unit Teaching Method)
           วิธีสอนแบบหน่วยเป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กันโดยไม่ กำหนดขอบเขตของวิชา แต่ยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า หน่วย
   1.10 วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนรู้(Learning Center)
             เป็นการเรียนรู้จากการประกอบกิจกรรมของนักเรียนโดยแบ่งบทเรียนออกเป็น 4-6 กลุ่ม แต่ละศูนย์ประกอบกิจกรรมแตกต่างกันออกไปตามที่กำหนดไว้ในชุดการสอน
   1.11 วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม(Programmed Instruction)
            วิธีการสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม หมายถึง สื่อการเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละ บุคคล
   1.12 บทเรียนโมดูล(Module)
             บทเรียนโมดูลเป็นบทเรียนหน่วยหนึ่ง ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของบทเรียนที่สร้างขึ้น องค์ประกอบสำคัญ คือ
             1.หลักการและเหตุผล(Prospectus)
             2.จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(Behavioral Objectives)
             3.การประเมินผลก่อนเรียน(Pre-Assessment)
             4.กิจกรรมการเรียน(Enabling Activities)
             5.การประเมินผลหลังเรียน(Post-Assessment)
   1.13 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction)
             คอมพิวเตอร์ คือ สื่อการสอนที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูง ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนคอมพิวเตอร์มี ปฏิสัมพันธ์กัน
   1.14 การสอนซ่อมเสริม
             การสอนซ่อมเสริม หมายถึง การจัดการเรียนเพิ่มแก่นักเรียนที่มีระดับสติปัญญาต่ำ เรียนไม่ทันเพื่อน ขาดความคิดรวบยอด หรือจัดการเรียนเพิ่มแก่นักเรียนที่เก่งฉลาดเพื่อได้รับความรู้เพิ่มขึ้น
   1.15 หมวกแห่งความคิด(The Six Thinking Hats)
            Edward de Bon ได้พัฒนากิจกรรมเพื่อพัฒนาความคิด
            หมวก คือ จะช่วยให้ผู้เรียนได้พยายามคิด ทั้งคิดในรอบ คิดทั้งจุดดี จุดด้อย จุดที่สนใจ ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้นๆ แทนที่จะยึดกับความคิดเพียงด้านเดียวหมวกแห่งความคิดมี 6 ใบดังนี้
            1.หมวกสีขาว ขาวบริสุทธิ์ เป็นตัวแทนข้อเท็จจริง ข้อมูล ตัวเลข
            2.หมวกสีแดง แทนอารมณ์ความรู้สึก และหยั่งรู้
            3.หมวกสีดำ แทนความคิดทางลบในทางที่ไม่ดี ไม่ได้ผล จุดด้อย ข้อผิดพลาด
            4.หมวกสีเหลือง แทนสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งสร้างสรรค์ สนับสนุน ให้กำลังใจ
            5.หมวกสีเขียว แทนการเจริญเติบโต ความอุดมสมบูรณ์ คุณค่าของความคิด
            6.หมวกสีน้ำเงิน แทนการควบคุม ควบคุมบทบาทสมาชิกของกลุ่ม
   1.16 การสอนแบบ 4 MAT
             เป็นแผนการสอนที่ประยุกต์มาจากแบบใยแมงมุม แต่กิจกรรมนั้น 4 ขั้นตอน หรือใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างระหว่างบุคค คือ
             ขั้นที่ 1 Why(ทำไม) เพื่อตั้งคำถาม กระตุ้นให้เด็กสนใจในเรื่องที่เรียน
             ขั้นที่ 2 What(อะไร) เป็นการอธิบายความเข้าใจการจัดการศึกษาด้วยตนเอง
             ขั้นที่ 3 How(ทำอย่างไร) เป็นการนำไปปฏิบัติ การนำไปใช้
             ขั้นที่ 4 If(ถ้า...) เป็นการกระตุ้น
   1.17 แผนการสอนแบบ CIPPA
             แผนการสอนแบบ CIPPA เป็นแผนการสอนที่ใช้กิจกรรมที่เน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง 5 ด้าน  ได้แก่
             1.Construct หรือการสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
             2.Interaction หรือการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนสื่อ และสิ่งแวดล้อม
             3.Physical Participation หรือการมีส่วนร่วมทางกาย หมายถึง ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในการทำกิจกรรมลักษณะต่างๆ
             4.Process Learning หรือการเรียนรู้กระบวนการต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
             5.Application หรือการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ หมายถึง ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ
   1.18 วิธีสอนแบบ Storyline
            วิธีสอนแบบ Storyline เป็นการสอนแบบบูรณาการโดยการดึงเอาแนวคิดจากวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษา ศิลปะ โดยใช้กนะบวนการหลากหลายมาแก้ปัญหา และกิจกรรมหลายๆรูปแบบ
อ้างอิง
พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น